วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ทางเดินของศพ

ตายแล้วเอาศพไปไว้ที่ไหน บางทีคำถามง่ายๆแบบนี้ก็ตอบได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่ละท้องถิ่นของโลกมีวิธีการจัดการกับศพด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป บางแห่งนั้นมีวิธีการจัดการที่ดูคล้ายกับการไม่ค่อยให้ความเคารพ แต่บางแห่งก็จัดการกันแบบแนวแปลกๆ แตกต่างจากที่ใดๆในโลก
                ความแตกต่างเหล่านี้ก็คือสีสันของทางเดินของศพที่ล้วนแล้วแต่ต้องเดินไปตามทิศทางของคนที่อยู่ข้างหลังซึ่งเป็นผู้จัดการให้ทั้งสิ้น ส่วนจะแตกต่างกันหรือพิสดารขนาดไหน คลต้องติดตามเรื่องราวของแต่ละท้องถิ่นแต่ละที่จึงจะรับรู้กันได้ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่ดี
1.       คนหลอกผี
ชนชาวชุคชีซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของไซบีเรีย มีความเชื่อกันว่าถ้าไม่อยากให้ปิศาจหรือภูตผีพากันมาหลอกหลอน ก็จะต้องทำตามความเชื่อบางอย่าง นั่นก็คือภายใน1ปีเต็ม หลังทำพิธีศพ ผู้ที่เป็นหัวหน้าในพิธีจะต้องเดินทางไปที่ทะเลสาบพร้อมกับตะโกนออกมาว่า
ข้าไม่ใช่มนุษย์ ข้าเป็นเป็ดทะเลต่างหาก” แค่นี้ก็พอทำให้พ้นจากการถูกปิศาจหลอกหลอนได้แล้ว
ส่วนชนเผ่าคอร์แย็คนั้น ผู้ที่โศกเศร้าคร่ำครวญในงานศพจะต้องส่งเสียงร้องของสัตว์ต่างๆออกมา ทั้งนี้เพื่อเป็นการลวงปิศาจให้เข้าใจผิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนเหมือนกัน อย่ามาหลอกหลอนกันเลย
2.       ไม่ต้องการหินเหนือหลุมศพ
ชนเผ่ามาร์เควซัสแห่งดินแดนโพลิซิเนียโบราณจะระมัดระวังไม่ให้ใครต่อใครล่วงรู้ว่าพวกเขาฝังศพคนตายกันไว้ที่แห่งใดบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเขากลัวว่ากระดูกของพวกเขาจะถูกขโมยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนกะโหลกนั้นยิ่งต้องระมัดระวังเป็นที่สุด
ดังนั้น เมื่อมีใครคนหนึ่งตายจากไป คนที่ทำหน้าที่ฝังศพจะนำศพไปฝังไว้ในถ้ำที่ปกปิดเป็นความลับ ซึ่งถ้ำแบบนี้มีอยู่หลายถ้ำในดินแดนนั้น แม้แต่เพื่อนฝูงหรือกระทั่งครอบครัวของผู้ตายก็ยังไม่รู้ว่าศพถูกฝังไว้ที่ถ้ำไหนกันแน่
3.       ศพทิ้งบ่อ
ชาวโรมันโบราณที่มีฐานะยากจนนั้นมักไม่ค่อยมีทางเลือกในการจัดการกับศพของผู้ที่จากไปมากมายนัก หนทางที่ปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำก็คือ ทิ้งศพให้เน่าเปื่อยผุพังกันอยู่กลางแจ้งให้เป็นเหยื่อนกกา หรือไม่ก็ทิ้งลงบ่อน้ำบางแห่ง และท้ายที่สุดก็คือทิ้งทับถมลงไปที่กองขยะประจำถิ่น
4.       สายน้ำกั้นสุสาน
อินเดียนแดงเผ่าแบล็กฟุตซึ่งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ มีความเชื่อกันว่าจะต้องวางตำแหน่งสุสานของเผ่าในทิศทางฝั่งตรงข้ามกับเผ่าโดยมีสายน้ำกั้นไว้อย่างเคร่งครัด พวกเขาเชื่อกันหนักหนาว่าสายน้ำจะเป็นตัวเร่งวิญญาณของผู้ตายเดินทางจากหลุมศพสู่โลกหลังความตายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ถ้าศพหลุดลงสายน้ำแล้วไหลขึ้นไหลลงให้ได้เห็นกันอยู่ทุกมื้อสงสัยจะกินข้าวไม่ลงกันแน่นอน
5.       ห้ามหลับเมื่อมีใครตาย
อินเดียนแดงเผ่าฮิวาโรซึ่งอาศัยอยู่ตามเทือกเขาแอนดีสในดินแดนเอกวาดอร์และเปรู ต้องพยายามฝืนใจห้ามหลับตาลงในระหว่างที่กำลังโศกเศร้าเคล้าน้ำตาอยู่กับความตายและการสูญเสียของผู้ตายที่จากไป
หนทางที่จะทำให้พวกเขาไม่ต้องหลับตาก็คือ การถูกถมด้วยน้ำจากยาสูบที่ไหม้หรือเผาแล้วเข้าที่หว่างตาสองข้าง ความแสบและความฉุนของยาสูบจะทำให้พวกเขาไม่อาจข่มตาหลับได้แม้ว่าจะง่วงงุนเพียงใดก็ตาม
นอกจากนั้นพวกเขายังเชื่อกันว่า ถ้าหลับตาลงเมื่อใดพวกเขาจะเห็นเหล่าคนตายพากันมาหลอกหลอนให้ขนหัวลุก และแม้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเก่งฉกาจในการย่อหัวมนุษย์ที่เป็นศัตรูแบบสุดเหี้ยมโหดเพียงใดก็ตามที แต่เรื่องผีนั้นชาวฮิวาโร่ถือว่าอยู่ในอันดับดีหนึ่งประเภทหนึ่ง แซงหน้าอินเดียนแดงเผ่าใดๆไปไกลสุดกู่
6.ร้องไห้จนตาบอด
ชนเผ่าบูเอ็นเด้ซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกาตอนกลาง ต้องสืบทอดประเพณีอย่างหนึ่งซึ่งค่อนข้างทรมานไม่น้อย นั่นก็คือพวกเขาต้องเข้าสู่พิธีกรรมแห่งการร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักเมื่อมีญาติของพวกเขาจากไป
การร้องไห้เช่นนั้นถือว่าเป็นประเพณีบังคับแบบต้องร้องไห้กันแบบไม่มีหยุดหย่อนและเนิ่นนาน จนกระทั่งมีใครบางคนในเผ่านี้ถึงกับตาบอดเนื่องจากร้องไห้แบบมาราธอนเช่นนั้น
7.งานศพแห่งความเมา
ชนชาวเบ็ตซิลิโอแห่งมาดากัสการ์ ไดชื่อว่าเป็นพวกที่ไม่ระงับพฤติกรรมหลายๆอย่างในระหว่างการช่วยงานศพด้วยกัน นั่นก็คือ ในช่วงก่อนจะมีพิธีการฝังศพ ผู้จัดงานศพจะต้องจัดให้มีการต่อสู้กันของนักสู้ในเผ่ากับวัววกระทิงอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการดื่มเหล้าเมายากันอย่างหนักหนาสาหัสสากรรจ์จนกระทั่งเมาพับหรือเมาไม่ได้สติกันถ้วนหน้า จากนั้นขั้นต่อไปก็คือการนำผ้ามาปิดตาจนมองไม่เห็นอะไร และในบางโอกาสก็ยังเปิดทางให้มีเพศสัมพันธ์ในหมู่พี่น้องท้องเดียวกันในเผ่าอีกด้วย
8.จูบศพ
เป็นเรื่องสยดสยองปนสะอิดสะเอียนที่รับรู้ว่า บรรดาผู้สืบเชื้อสายแห่งชนเผ่าซัลก้าของเมลานีเซียจำเป็นจะต้องนอนเคียงข้างศพคนตายก่อนที่จะถึงเวลานำไปฝัง
สาวคนหนึ่งของนิวกินี จำเป็นจะต้องพรมจูบร่างของสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของเธอทุกวัน จนกระทั่งศพขึ้นอืดเละเน่าเฟะไปทั่ว เมื่อนั้นถึงจะเลิกจูบได้
9.เพียงแค่หลับมั้ง
ในอิสราเอลมีความเชื่อกันอยู่ระหว่างสังคมของชาวยิวบางกลุ่มว่า ศพที่เพิ่งตายและรอการฝังอยู่อาจจะกลับคืนร่างหรือมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้เสมอๆ
ดังนั้นจึงมีผู้เชี่ยวชาญพิเศษถูกจ้างมาดูสัญญาณการคืนชีพก่อนที่จะมีการฝังศพในชุมชนที่มีความเชื่อแบบนั้นด้วย
10.ทำลายอวัยวะศพ
ชนเผ่าเฮอร์เบิร์ตริเวอร์มีความเชื่อกันว่าในช่วงที่มีการฝังศพไปแล้วหลายวัน พวกญาติๆของศพก็จะมาเยี่ยมที่บ้าน โดยที่บรรดาญาติๆเหล่านั้นจะพากันหักขาศพเพื่อเป็นการหยุดยั้งศพหรือผีของศพไม่ให้เดินเหินไปไหนมาไหนได้

ส่วนปอดและกระเพาะก็จะถูกยัดก้อนหินเข้าไป เพื่อทำให้ร่างศพมีน้ำหนักมากเกินขนาด จะได้ไม่เที่ยวไปหลอกหลอนผู้คนได้อีก

ปอบร้ายเมื่อ ๖๐๐ ปีก่อน


                ตำนานปอบที่ว่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นที่ไทยเพียงเท่านั้น ในบางประเทศก็มีตำนานปอบเล่าขานเหมือนประเทศไทยเช่นกัน เพียงแต่จะแตกต่างกันไม่มากเท่านั้น
                การผงาดขึ้นเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนเมโสโปเตเมียของอิรักในยุคศตวรรษที่15(ราว600ปีก่อน) เป็นเรื่องที่สร้างสมพลังอำนาจและวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่หลายด้านให้ดินแดนตะวันออกกลางแห่งนั้น ท่ามกลางความเจริญงอกงามหลากหลายด้านนั้น แม้แต่ในด้านมืดก็มีการบันทึกถึงความเจริญของมันเอาไว้ด้วยเช่นกัน
                ท่ามกลางบันทึกและเรื่องเล่าพื้นบ้านที่หลากหลายนั้น เรื่องราวของปอบที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องที่มีบันทึกเอาไว้ในบางตอนของนิยายเรื่องพันหนึ่งราตรี (One Thousand and One Arabian Nights) ซึ่งมีเนื้อหาคร่าวๆดังนี้
                อับดุล ฮัสซัน ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของพ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมืองแบกแดดนั้นได้รับมอบหมายให้เตรียมงานแต่งกับสาวน้อยรายหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อของเขาได้หมายตาเอาไว้ แต่เวลาเดียวกันนั้น หนุ่มฮัสซันผู้นี้กลับมีความรักกับสาวอีกนางหนึ่งซึ่งชื่อว่านัดดิลลา ซึ่งเป็นบุตรีของปราชญ์ท่านหนึ่ง
                ฮัสซันนั้นร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาต้องการจะแต่งงานอยู่กินกับสาวที่ตัวเองรัก และเขาก็ได้ดิ้นรนสุดฤทธิ์เพื่อที่จะทำให้พ่อของเขาเปลี่ยนใจ และในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ เขาสามารถวิงวอนและชักแม่น้ำทั้งห้าจนพ่อของเขาใจอ่อนยอมให้เขาได้แต่งงานกับนัดดิลลา สาวอันเป็นที่รักของลูกชายจนได้
                เมื่อทั้งสองได้ครองคู่อยู่กินกันฉันสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันนั้น ฮัสซันนั้นสังเกตว่านัดดิลลาของเขานั้นไม่สนใจอยากจะกินอาหารร่วมโต๊ะกับเขาแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น นางยังทำกิริยาอาการพิลึกๆด้วยการเผ่นออกไปจากบ้านในยามดึกดื่นทุกคืน กว่าจะกลับบ้านอีกครั้งก็ล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้วเท่านั้น
                คืนหนึ่ง ฮัสซันตัดสินใจแล้วที่จะต้องรู้ให้ได้ว่านัดดิลลาออกไปไหนดึกๆดื่นๆทั้งคืน เมื่อถึงเวลาเข้านอน ภรรยาเห็นว่าเขานอนแล้วจึงได้แอบย่องออกจากบ้าน ส่วนฮัสซันนั้นก็แกล้งทำเป็นหลับ เมื่อเห็นนัดดิลลาเดินออกจากบ้านก็รีบสะกดรอยตามโดยไม่คลาดสายตา

                นัดดิลลานั้นเดินตรงไปยังสุสานที่ฝังศพนอกตัวเมืองอย่างรีบเร่ง เมื่อไปถึงสุสานก็เข้าร่วมวงขุดกินซากศพกับบรรดาปอบทั้งหลายที่เดินทางล่วงหน้ามายังสุสานแห่งนั้นก่อนแล้ว นัดดิลลาทั้งกัดทึ้งเนื้อเน่าเปื่อยและแทะกระดูกดูดกินเลือดเนื้อศพอย่างหิวกระหาย ภาพที่เห็นนั้นทำให้ฮัสซันซึ่งสะกดรอยตามมาถึงกับเข่าอ่อน
                คืนนั้นเขาเฝ้ามองเมียรักด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป จากนั้นจึงเดินทางกลับที่พักอย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
                วันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ฮัสซันเรียกให้นัดดิลลามากินอาหารค่ำด้วยกัน แต่เธอก็ปฎิเสธเหมือนเช่นเคย คราวนี้ฮัสซันรู้แล้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ เขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยปากประณามเธอออกไปว่า ที่ไม่ยอมกินอาหารค่ำกับเขาก็เพราะว่าเธอเป็นผีปอบมากกว่า ทั้งยังสำทับต่อไปอีกด้วยว่า เขาเห็นเธอร่วมกินซากศพในสุสานกับบรรดาเพื่อนผีปอบอื่นๆอย่างถนัดตา
                ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฮัสซันพูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่นัดดิลลาไม่อาจปฏิเสธได้ เธอโกรธจนตัวสั่นที่ความจริงถูกเปิดเผยขึ้นมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่ารีบตรงดิ่งเข้าห้องนอนทันที
                ตกดึกคืนนั้นฮัสซันเข้าห้องนอนตามปกติ เขาระวังตัวมากเพราะไม่รู้ว่าเมียที่รักกลายเป็นปอบไปแล้วนั้นจะจู่โจมเล่นงานเขาหรือไม่ และแล้วสิ่งที่เขาคาดไว้ก็เป็นจริงเมื่อนัดดิลลาหาโอกาสบุกเข้าเล่นงานฮัสซันด้วยการฉีกทึ้งคอหอยของเขาจนเลือดสาด จากนั้นจึงประกบปากดูดเลือดจากบาดแผลทันที

                แต่ฮัสซันก็ยังอดทนพอที่จะคว้าไม้ที่เตรียมเอาไว้ตีกระหน่ำจนนัดดิลลาเมียรักตายคาที่
                ปอบนัดดิลลานั้นตายไปแล้ว ต่อมาร่างของเธอจึงถูกนำไปฝังยังสุสานประจำเมือง แต่เรื่องของนัดดิลลายังไม่จบสิ้นแค่นั้น เพราะปรากฎว่าหลังจากนัดดิลลาตายไปได้3วัน เธอกลับมาปรากฏร่างอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้เป็นนางปอบแสนชั่วร้ายดังเดิมเท่านั้น หากแต่เป็นนางผีดิบแวมไพร์สุดโหดที่เตรียมเล่นงานจู่โจมฮัสซันเพื่อที่จะดูดเลือดกันอีก แต่ฮัสซันรู้ทันเสียก่อน สามารถหนีเอาตัวรอดได้

                เช้าวันรุ่งขึ้นฮัสซันไม่รอช้า รีบเดินทางไปยังสุสานที่ฝังศพของนัดดิลลา เขานำร่างของเธอไปทำการเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน จากนั้นก็นำกระดูกของเธอไปทิ้งที่แม่น้ำไทกริสเพื่อตัดตอนการเป็นแวมไพร์ไปเลย

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผีดิบ

                1. เรื่องผีดิบเคาค์แดร็กคิวล่าอันโด่งดังเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นโดย บราม สโตกเกอร์เมื่อ100ปีมาแล้ว นิยายเรื่องนี้ยังคงเป็นที่นิยมอยู่จวบจนทุกวันนี้ ยังมีนิยายผีดิบอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกือบจะถูกลืมไปแล้ว นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นในปีค.ศ.1847 ชื่อวาร์นี่ จอมผีดิบ เป็นเรื่องเล่าเป็นตอนๆ ผีดิบวาร์นี่ตายโดยกระโดดลงไปในปล่องภูเขาไฟ
                2. ชายผู้หนึ่งชื่อแดร็กคิวล่า อาศัยอยู่ในยุโรปตะวันออก เขาไม่ได้เป็นผีดิบ แต่เป็นแม่ทัพใจเหี้ยมที่ข่มขู่ผู้คนในแถบนั้น ได้รับสมญาว่า วลาด แดร็กคิวล่า จอมเสียบ เนื่องมาจากปฏิบัติการอันโหดร้ายของเขา คือใช้ไม้ปลายแหลมเสียบอกเหล่าศัตรูและพวกนักโทษ
                                             


                        3. ค้างคาวผีดิบมีจริง แต่มันไม่ดูดเลือดมนุษย์ มันจะดูดเลือดวัวหรือม้าที่กำลังนอนหลับโดยเจาะเข้าที่ผิวหนังแล้วดูดเลียเลือดของเหยื่อเหมือนแมวเลียนม ฟันของมันแหลมคมมากจนเหยื่อไม่ทันรู้สึกตัว สารตัวหนึ่งที่อยู่ในน้ำลายของมันทำให้เลือดไหลออกมาเรื่อยๆไม่แข็งตัว เหยื่อจะไม่เสียชีวิตเพราะถูกดูดเลือด แต่ค้างคาวชนิดนี้อาจเป็นพาหะของโรค เช่น โรคกลัวน้ำ ซึ่งจะทำให้เหยื่อตายได้ในที่สุด

                                                                                                   

                4. ในลอนดอนมีสมาคมแดร็กคิวล่าอยู่แห่งหนึ่ง และอีกแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย พวกสมาชิกจะพบปะกันปีละครั้งในวันที่8 พฤษจิกายน เพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของบราม สโตกเกอร์ ผู้เขียนเรื่องแดร็กคิวล่า ในงานนี้จะมีการเชิญผู้บรรยายมาพูดเรื่องตำนานผีดิบ
                5. เชื่อกันว่า ผีดิบไม่ถูกกับกระเทียมและเกลือ ซึ่งจะช่วยไล่ผีดิบไปได้ การโรยผงชอล์กและพรมน้ำมนต์ก็เชื่อว่าได้ผลเช่นกัน วิธีเดียวที่จะฆ่าผีดิบให้สิ้นซากก็คือใช้ไม้หรือเหล็กแหลมตอกทะลุหัวใจ ผีดิบจะกรีดร้องเสียงแหลมขณะดำเนินพิธีกรรมอยู่ ผีดิบบางตัวก็ร้องไห้ด้วย ถ้าต้องการให้แน่ใจว่าผีดิบตายจริงๆ เขาจะตัดศีรษะออกแล้วเอาร่างไปเผา
                6. เชื่อกันว่าเราสามารถป้องกันตัวเองจากผีดิบได้โดยการทำเครื่องหมายกางเขน ผีดิบและพระต่างก็ไม่ถูกกัน พวกพระแถบยุโรปตะวันออกกล่าวว่าคนที่มีจิตใจชั่วร้ายจะกลายเป็นผีดิบ ผีดิบไม่สามารถบังคับให้เหยื่อเข้าไปในรังของมันได้ นอกเสียจากว่าจะเชื้อเชิญให้เข้าไปโดยสมัครใจ
                7. ตำนานเรื่องผีดิบสืบสาวไปได้หลายพันปี ตั้งแต่สมัยกรีกโรมันและเทพนิยายของชาวฮีบรู แต่ศูนย์รวมที่ขึ้นชื่อที่สุดอยู่บริเวณทรานซิลเวเนียในโรมาเนีย ประเทศโรมาเนียอาศัยตำนานเรื่องผีดิบเป็นจุดขายของธุรกิจการท่องเที่ยว กล่าวคือ มีโรงแรมชื่อปราสาทแดร็กคิวล่า โรงแรมจะเปิดเทปเสียงหมาป่าหอนเมื่อมีแขกขับรถเข้ามาในบริเวณนั้น
                8. ตำนานบอกว่าผีดิบอาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ เหยื่อของผีดิบจะกลายเป็นผีดิบรายต่อไป กระนั้นเชื่อว่าถ้าได้กินดินจากหลุมฝังศพของผีดิบจะช่วยรักษาอาการได้
                9. ในศตวรรษที่17และ18 มีการขโมยขุดซากศพจากหลุมแล้วนำไปขายให้แพทย์เพื่อการศึกษา พวกขโมยทิ้งหลุมศพให้ว่างเปล่า ดังนั้นคนขี้ตื่นจึงพากันคิดว่าซากศพลุกจากหลุมเดินเองได้

                10. คนที่เชื่อเรื่องผีดิบอธิบายสภาวะการเป็นผีดิบไว้2แบบ แบบแรกบอกว่า ผีดิบคือวิญญาณชั่วร้ายที่เข้าสิงสู่อยู่ในซากศพ อีกแบบหนึ่งก็ว่า ผีดิบคือวิญญาณของคนตายที่ชั่วร้ายเสียจนไม่มีภพภูมิที่จะไปหลังความตาย จึงต้องย้อนกลับมาหาร่างเดิมเพื่อเป็นแหล่งพักพิง  
       

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พรายน้ำ

ค.ศ. 1965 ดร. เบอร์นาร์ด ฮิวเวลมานส์ นักสัตววิทยาศึกษารายงานเกือบ600ชิ้น เรื่องการพบเห็นสัตว์ประหลาดในทะเล เขาจัดจำพวกของมันเป็น9ชนิด
ซอเรียน                                         - พวกจระเข้
ซูเปอร์อีล                                      - อาจเป็นปลาที่คล้ายงู
ซูเปอร์ออตเตอร์                             - พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหางยาว                  
เมนี่-ฟินด์                                     - สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวยาว มีครีบรูปสามเหลี่ยม
เมนี่-ฮัมพ์                                     - สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวยาว ศีรษะตรงทื่อ คอสั้น มีตีนเป็ด มีตะโหงกที่หลัง
ลอง-เน็ค                                       - แมวน้ำไม่มีหาง
ซีฮอร์ส                                         - คล้ายพวกลอง-เน็ค แต่ตาโต มีหนวดและแผงคอ
ไจแอนท์ แท็ดโพล                         - ตัวสีเหลือง มีรูปร่างแบบลูกอ๊อด มีตาหลัง
ไจแอนท์ เทอร์เทิล                          - เหมือนสัตว์ดึกดำบรรพ์ในยุคเมโสโซอิค
เขาตัดสินว่ารายงาน358ชิ้น ไม่ใช่เรื่องโกหก ดูผิด หรือสับสนกับสัตว์ที่รู้จักกันดี ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าเป็นความจริง
ตำนานเรื่องสัตว์ประหลาดในทะเลที่มีมายาวนานที่สุด เป็นเรื่องของเงือกทั้งหญิงและชาย ในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงเทพที่มีหางเป็นปลา เมื่อเร็วๆนี้หนังสือพิมพ์เพรตโตเรียนิวส์ของแอฟริกาใต้ มีรายงานการพบนางเงือกในควันหลงจากพายุที่ลูซาก้า เมื่อวันที่20 ธันวาคม ค.ศ.1977 สิ่งมีชีวิตตัวนั้นเป็น “หญิงชาวยุโรปตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นไป ในขณะที่ร่างกายส่วนที่เหลือมีรูปร่างคล้ายกับส่วนของหางปลาและมีเกล็ดปกคลุม” บ่อยครั้งที่มีการอธิบายว่าคนเข้าใจผิดว่าเห็นเงือก แต่แท้จริงคือสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกพะยูน บ้างก็เชื่อว่าเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมนุษย์คลานขึ้นมาจากทะเลเพื่อมาใช้ชีวิตบนบกเงือกคือต้นตระกูลมนุษย์ซึ่งเลือกที่จะอยู่ในทะเล
ค.ศ.1913 มีรายงานว่าพบสัตว์ประหลาดแถวชายฝั่งออสเตรเลีย ออสการ์ เดวีส นักสำรวจแร่ชาวทัสเมเนียกับเพื่อน ดับบลิว แฮริส มองเห็นมันอยู่บนชายหาด ขณะอาทิตย์อัสดง “มันยาว4.5เมตร หัวเล็ก ลำคออวบโค้งพันขดไปตามตัว ไม่มีหางและครีบ มีขนปุกปุย สีขนคล้ายม้าสีน้ำตาลไหม้ที่ได้รับการแปรงขนจนเป็นมัน ขาทั้งสี่แปลกเป็นพิเศษและมีรอยเท้าที่ไม่เหมือนใคร คือเวียนเป็นวงกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง(วัดแล้ว)9นิ้ว อุ้งเท้ายาวประมาณ7นิ้วยื่นออกมาจากร่างกาย เคลื่อนที่เร็วมากเมื่อถูกรบกวนจะยกส่วนท้ายขึ้นแล้วเตะขาหลังออกมา ความสูงขณะยืนสี่ขาราว 1.07-1.22เมตร” พวกเขาคุ้นเคยกับแมวน้ำและสิงโคทะเลในแถบนั้นดี แต่สัตว์ประหลาดแบบนี้ไม่ใช่พวกเดียวกัน
โลกนี้มีส่วนที่เป็นพื้นน้ำมากกว่าพื้นดิน น้ำครอบคลุมถึง3ใน5ของพื้นผิวโลก บางที่มีความลึกถึง9.5กิโลเมตร พื้นน้ำเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้นที่ถูกมนุษย์สำรวจ ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่มีสิ่งมีชีวิตหลากชนิดซึ่งมนุษย์ไม่เคยประสบพบเห็นอาศัยอยู่

ปลาวาฬที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีความยาว30เมตร ปลาที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุด(ฉลามวาฬ) มีความยาววัดได้18เมตร
ยามที่มนุษย์คิดว่ารู้จักสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในมหาสมุทรดีแล้ว ก็จะมีการค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ขึ้น ในค.ศ.1937 มีการพบปลาวาฬปากเป็ดซึ่งไม่มีใครรู้จักมาก่อน ถูกซัดมาเกยตื้นในนิวซีแลนด์
ในยามที่เราคิดว่าสัตว์ทเลยุคก่อนประวัติศาสตร์สูญพันธุ์ไปแล้ว ก็จะมีตัวหนึ่งโผล่มาให้เห็น มีผู้จับตัวซีลาแคนท์(Coelacanth) (ซึ่งเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ70ล้านปีก่อน) ได้ในมหาสมุทรอินเดียในปีพ.ศ.1939 จากนั้นมาก็ยังจับได้อีก และจับได้ทั้งที่ยังเป็นๆเสียด้วย
                      
พื้นที่มหาสมุทรส่วนใหญ่จะอยู่ค่อนไปทางซีกโลกใต้ แต่การประมงส่วนมากทำกันในทางซีกโลกเหนือ ดังนั้นทะเลทางซีกโลกใต้จึงเกือบจะไม่ถูกรบกวนเลย
คนทั่วโลกเคยได้ยินเรื่องราวของสัตว์ประหลาดในท้องทะเล คนเหล่านี้อยู่ห่างไกลกันด้วยทั้งระยะทางและระยะเวลา กระนั้นสัตว์ประหลาดที่เขาเล่าก็มักจะคล้ายๆกัน ในยุโรปตอนเหนือมีสัตว์ชนิดหนึ่งเรียกว่า คราเคน(Kraken) เมื่อโผล่ขึ้นเหนือน้ำจะแผ่ร่างออกครอบคลุมพื้นที่มากกว่า2.4กิโลเมตร กะลาสีเรือเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเกาะจึงนำเรือเข้าไปจอดแล้วเตรียมก่อไฟตั้งค่ายพักแรม แต่แล้วก็ต้องตะเกียกตะกายว่ายน้ำเพราะมันดำน้ำลงไป ตำนานของชาวมาลากัสเรียกมันว่าราชาแห่งท้องทะเล ชาวกรีกโบราณเรียกมันว่าตัวสกิลล่า(Scylla)
                                       

                                                                        

ปลาโลมาที่ว่ายเรียงกันเป็นแถวจะมองดูราวกับสัตว์ที่มีหนอกเช่นเดียวกับนกเพนกวินที่ว่ายน้ำ สัตว์อื่นๆที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัวประหลาดก็ได้แก่ แมวน้ำวอลรัส สิงโตทะเล ปลาไหลทะเลยักษ์ วัวทะเล(เชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว)ปลาวาฬ ปลาหมึก และปลาหมึกยักษ์ ซึ่งสามารถยืดหนวดออกไปไดไกลถึง20เมตร และพบเห็นว่าต่อสู้กับปลาวาฬด้วย

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผีถ้วยแก้ว

                    จะว่าไปเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่จะอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่างๆมากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวของความลึกลับและชีวิตหลังความตาย ซึ่งบ่อยครั้งที่เราจะได้ยินถึงเรื่องหลากร้อยหลายพันวิธีที่ผู้คนสรรหามาเพื่อการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณ
                เรื่องผีถ้วยแก้วก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการสื่อสารติดต่อกับวิญญาณที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมาก เพราะหากเล่นอย่างถูกวิธีแล้วก็จะได้สัมผัสกับวิญญาณอย่างจริงแท้แน่นอน ผีถ้วยแก้วนิยมเล่นกันมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่ สาเหตุที่เล่นกันถ้วนทั่วก็เพราะขั้นตอนของการเล่นและช่วงที่ดำเนินการเล่นนั้นเต็มด้วยความลุ้นระทึกและท้าทายความรู้สึก เมื่อรู้ว่าสิ่งที่กำลังล้อเล่นอยู่นั้น ไม่ใช่คนที่มีเลือดเนื้อหรือจับต้องได้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับเป็นวิญญาณ หรือที่เราเรียกกันว่าผีนั่นเอง

                ความจริงแล้วการเล่นผีถ้วยแก้ว เป็นการเผชิญหน้ากับผีอย่างองอาจและเป็นมิตร เพราะโดยทั่วไปแล้วไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่เป็นต้องขยาดผีจนขนหัวลุก ผู้ที่เล่นผีถ้วยแก้ว นอกจากจะสัมผัสกับความตื่นเต้นและท้าทายแล้ว จุดประสงค์อีกประการหนึ่งก็คือ การให้ผีทำนายทายทักเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่สงสัยใคร่รู้ แต่ความแคลงใจที่เกิดขึ้นในการเล่นผีถ้วยแก้วก็คือ วิญญาณที่เข้ามาสิงสู่ในถ้วยแก้วนั้นเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร
                เกจิอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวว่าผีหรือวิญญาณที่เข้ามาสิงอยู่ในถ้วยแก้วนั้นเป็นเรื่องจริง แต่บางครั้งแล้ววิญญาณที่เราเรียกมานั้นก็เป็นวิญญาณเร่ร่อน จะทำนานทายทักอะไรก็ไม่ใช่ว่าจะไม่แม่นยำนัก ทั้งๆที่บางครั้งเราระบุไปว่าเราต้องการจะพบกับวิญญาณของคนนั้นคนนี้ ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิต เพราะบางทีก็มีวิญญาณอื่นมาสวมรอยแทน จุดประสงค์ที่ต้องการจะรู้ก็อาจจะพลาดไปด้วยการล้อเล่นของวิญญาณผีเร่ร่อนนั้นๆ ดังนั้นหากใครจะเล่นผีถ้วยแก้วก็ต้องพึงสังวรไว้ว่า การเรียกดวงจิตวิญญาณมาเพื่อสื่อสารก็เหมือนกับการที่เราโทรศัพท์หรือไปเคาะประตูบ้านใครสักคน หากเจ้าของบ้านหรือเจ้าของเบอร์โทรนั้นอยู่จริงๆเราไม่ได้โทรผิดหรือเข้าบ้านผิดหรือเหตุบังเอิญที่โทรศัพท์อยู่กับคนอื่นหรือเจ้าของบ้านฝากบ้านไว้กับคนอื่นก็เป็นอันว่าเราย่อมได้พบปะพูดคุยสื่อสารกับเจ้าของแน่ๆ ที่สำคัญคือ ต้องกระทำด้วยจิตบริสุทธิ์ ซึ่งก็จะสนุกไปกับการสื่อสารอันอัศจรรย์ใจ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะต้องพบกับเหตุการณ์อันไม่คาดฝันโดยที่หาคำตอบกับตัวเองไม่ได้เลยทีเดียว
ข้อควรระวัง

                ในการเล่นผีถ้วยแก้วพึงระวังและสำเหนียกอยู่เสมอว่า เมื่อตัดสินใจที่จะเล่นสื่อสารกับวิญญาณบางสิ่งที่มองไม่เห็นตัวแล้วนั้นต้องระมัดระวังตัวให้ดี ผู้เล่นควรจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีและมีจิตใจแน่วแน่ในการที่จะเรียนรู้และสื่อสารอย่างบริสุทธิ์ใจ ที่สำคัญอย่าให้ถ้วยแก้วเปิดก่อนจบการเล่น เพราะเชื่อถือกันว่าวิญญาณจะอยู่ในถ้วยแก้วนั้นจนกว่าจะจบการเล่น
                ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจเป็นได้ที่ภายหลังวิญญาณที่เรียกมานั้นอาจมีใจอยากติดต่อสื่อสารกลับมาบ้างหรืออาจจะไปเยี่ยมเยือนเพื่อนสนิทที่ร่วมคุยร่วมสนทนาเหล่านั้นบ้าง ผู้เล่นก็ควรจะเตรียมพร้อมและทำใจเพราะของอย่างนี้มันแล้วแต่กรณี

                ผู้เล่นทุกคนจะต้องเตรียมตัวและทำใจให้พร้อมกับการที่ต้องพบเจอเหตุการณ์ในทุกสภาวะรูปแบบ สำหรับคนใดที่รู้ตัวว่าเป็นพวกจิตอ่อน ขวัญผวา ไม่สมควรเด็ดขาดที่จะเล่น

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตำนานแวมไพร์



แวมไพร์ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของผีดูดเลือด เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์และปรากฏอยู่ในเรื่องราวเก่าแก่ในอดีตตราบจนกระทั่งปัจจุบัน ผีดูดเลือดหรือมนุษย์ผู้เป็นอมตะไม่มีวันตายอย่างแดร็คคิวล่า บ้างว่าเป็นตำนานที่ไม่มีอยู่จริง แต่ถามถึงบทพิสูจน์ที่แน่นอนนั้นยังไม่มีใครสรรหามายืนได้100%
อย่างไรก็ดี ชาวโลกได้รู้จักกับความร้ายกาจและอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวในอาณาจักรความสยดสยองของผีดูดเลือดหรืออมนุษย์ผู้ไม่มีวันตายและพยายามจะสร้างอาณาจักรผีดิบคือ “เคาท์แดร็คคิวลา” เรื่องราวของผีดิบดูดเลือดออกอาละวาด ดูดเลือดจากลำคอของเหยื่อที่เป็นสตรีเพื่อต่อชีวิตตัวเองและถ่ายทอดพันธุกรรมทางเลือดให้เหยื่อกลายเป็นผีดิบดูดเลือดตามไป


แต่สิ่งที่มีหลักฐานการบันทึกไว้จากรัฐบาลยูโกสลาเวีย และยังได้รับการเก็บรักษาไว้ที่กรุงเบลเกรดจนกระทั่งปัจจุบันก็เป็นเรื่องชวนให้พิศวงไม่น้อยเพราะคำร้องเรียนของชาวบ้านที่แจ้งไปยังกรุงเบลเกรดนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรีบรุดไปทำการพิสูจน์เพื่อหาข้อเท็จจริง
ผู้ที่ร้องเรียนเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านในเขตป่าดำ(ป่าดำที่อยู่ในแถบเทือกเขาสูงในโรมาเนีย ชุกชุมไปด้วยหมาป่าและสัตว์ร้าย)ได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ว่า ได้พบผีดิบอาละวาด แต่เดิมทีผีดิบตนนี้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา และได้ถึงแก่กรรมลงไปโดยสาเหตุธรรมดา ส่วนศพถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้า หากแต่แล้วจู่ๆก็มีคนพบว่าเขาออกมาเดินเพ่นพ่านในตอนกลางคืน ดูดเลือดหลานชายและหลานสาวไปอีกสามคนและยังได้ดูดเลือดพี่ชายของเขาแท้ๆเป็นศพที่สี่ เหยื่อรายที่ห้าคือหลานสาวคนเล็กของเขา แต่เด็กโชคดีที่มีผู้ไปพบและเข้าขัดขวางเสียก่อน ผีดิบรายนั้นจึงหลบหนีไป ชาวบ้านไม่กล้าจะออกตามล่า ได้แต่ระมัดระวังตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัย และได้ร้องเรียนมายังกรุงเบลเกรดเพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่มาปราบปราม จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่นำทางไปยังหลุมฝังศพของชายผู้นั้นในตอนกลางคืน ชาวบ้านต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันถือคบไฟนำเจ้าหน้าที่เข้าไปเป็นพรวน เมื่อไปถึงป่าช้าที่ฝังศพแล้วก็ขุดเอาโลงศพขึ้นมา

ปรากฏว่าดินที่ฝังศพนั้นมีลักษณะอ่อนนุ่มและไม่แน่นหนาคล้ายกับว่าได้มีการขุดขึ้นมาแล้วก็กลบลงไปหมาดๆ ทันใดนั้นไม่มีใครรอช้าได้อีก ในที่สุดโลงศพก็ถูกยกขึ้นมาจากหลุม เจ้าหน้าที่จึงกรูกันเข้าไปเปิดฝาโลง ศพที่นอนอยู่ภายในน่าจะขึ้นอืดหรือเน่าเปื่อย แต่แล้วกลับมีสภาพเหมือนคนทั่วไปที่กำลังนอนหลับ มีเลือดฝาด ทั้งที่ชาวบ้านยืนยันว่าเขาตายมาแล้วสามปี แต่ที่ทำให้ทุกคนขนลุกเกรียวคือ หัวใจของเขายังเต้นอยู่เป็นปกติ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้เร่งทำการชันสูตรพลิกศพและทำการบันทึกไว้ จากนั้นจึงนำเอาไม้ปลายแหมมาจ่อที่ตรงทรวงอกด้านซ้ายตรงกับหัวใจ...
                พลันศพนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

เพชฌฆาตจึงรีบทำหน้าที่ นำเอาค้อนอัดลงไปบนด้ามไม้ปลายแหลมทำให้ไม้ทิ่มทะลวงลงไปจนมิด เสียงร้องดังกึกก้องขึ้นจากปากของผีดิบดูดเลือด ของเหลวสีขาวข้นเหมือนครีมทะลักออกมาก่อนตามด้วยเลือดสดๆสีแดงฉานพุ่งตามออกมา หัวของศพถูกตัดออกจากตัว แล้วร่างที่ไร้วิญญาณก็กระตุกติดๆก่อนและตายลงอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ขยายหลุมให้กว้างขึ้น แล้วนำปูนขาวโรยเพื่อป้องกันเชื้อโรคและนำศพลงไปฝังนอกจากนี้ยังมีบันทึกเกี่ยวกับลักษณะของผีดูดเลือดหรืออมนุษย์อันเป็นความเชื่อของชาวยุโรปตะวันออกไว้ว่าดังนี้

  • ·       อย่างแรก ก็คือ ผีดิบจะมีชีวิตเมื่อลำแสงอาทิตย์สุดท้ายลับหายไปจากโลกนั่นหมายถึงความมืดแห่งรัตติกาลเข้าปกคลุมโลกนั่นเอง
  • ·       อย่างที่สอง ก็คือ ผีดิบจะซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินหรือซากปรกหักพังอันอับทึบปราศจากแสงแดดหรือในโลงศพอันปิดมิดชิดในตอนกลางวันเพราะแสงแดดเป็นอันตรายต่อร่างกายของมัน
  • ·       อย่างที่สาม ก็คือ ผีดิบคือร่างที่ไร้วิญญาณของผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตและเลือดเนื้อของคนธรรมดา แต่เมื่อความตายมาถึงแล้วกลับไม่ตาย แม้ร่างกายจะหยุดทำงานทุกระบบ แต่กลับมีชีวิตอยู่ในตอนกลางคืนด้วยเลือดสดๆจากเหยื่อที่มันดูดออกมาเป็นอาหาร
  • ·       อย่างที่สี่ เมื่อเหยื่อถูกดูดเลือดแล้ว เชื้อผีดิบจะผ่านไปทางน้ำลายของผีดูดเลือดเข้าไปในร่างกายของเหยื่อทำให้เหยื่อเกิดเป็นผีดิบดูดเลือดออกอาละวาดดูดเลือดเหยื่อต่อไปเป็นโรคระบาด หากไม่มีการปราบปรามก็จะขยายกว้างออกไปอย่างไม่จำกัด

  • ·       อย่างที่ห้า ผีดิบดูดเลือดในตอนกลางคืนจะไม่ปรากฏเงา ไม่ว่าจะในกระจกหรือในน้ำใสและจะเกลียดกระจกเป็นที่สุด เพราะเป็นจุดอ่อนที่จะเผยตัวเองว่าเป็นผีดิบ
  • ·       อย่างที่เจ็ด ผีดิบกลัวสัญลักษณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าและพระบุตรคือไม้กางเขน เกลียดกลิ่นกระเทียมสดและผวากับกระเทียมแห้งที่มัดรวมกันเป็นพวง
  • ·       อย่างที่แปด การจะกำจัดผีดูดเลือดต้องกระทำในเวลากลางวันเท่านั้นโดยการค้นหาให้พบที่ซ่อนของผีดูดเลือดแล้วนำร่างออกมากลางแดด แดดจะทำลายร่างให้กลายเป็นผงธุลีหายไปจากโลกนี้
  • ·       ข้อสุดท้ายคือ หากไม่สามารถจะนำร่างของผีดูดเลือดออกมาได้ ให้ทำลายด้วยการนำไม้เสี้ยมให้แหลม ตอกลงไปให้ทะลุหัวใจและเอามีดคมๆตัดศีรษะให้ขาดออกจากหัวเพื่อป้องกันการกลับมาเข้าร่างอีก

ทั้งหมดนี้ คือการบันทึกของรัฐบาลยูโกสลาเวียจากเรื่องราวอันเป็นความเชื่อถือของชาวคาเพเธียน อันอยู่ในดินแดนแห่งความเร้นลับด้วยมนต์ดำและคาวเลือด

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

ตำนานแม่มด

                 
                  พลังพิเศษเวทย์มนตร์คาถาและศาสตร์แห่งความลี้ลับ นับเป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลกตราบเท่าที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ นอกจากเรื่องผีสางนางไม้แล้ว ตำนานแม่มดก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อผสมกับจินตนาการและเหตุการณ์จริงบางเรื่องราว ซึ่งไม่มีใครสามารถสรุปเป็นข้อเท็จจริงได้ว่า ภาพยายแก่ หน้าตาน่าเกลียด จมูกงองุ้ม เล็บยาวแหลม สวมชุดดำ ขี่ไม้กวาด และสามารถจะเสกสรรบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามแต่อำนาจเวทย์มนตร์ดำนั้น มีจริงหรืออย่างไร
                เชื่อกันว่า แม่มดเป็นผู้ที่บูชาและรับใช้ซาตานด้วยการเข้าร่วมชุมนุมแซบบัธ(Sabbath) เพื่อเป็นการแสดงตนต่อหน้าซาตาน ในการนี้แม่มดจะต้องมอบเครื่องบรรณาการสีดำแก่ซาตาน อาทิ เทียนไขสีดำ สัตว์ปีกสีดำ รวมถึงจูบแห่งความละอายที่ก้นของซาตานอีกด้วย ตามตำนานยังกล่าวไว้ว่าพิธีกรรมในที่ประชุมนั้นประกอบไปด้วยพิธีลามกอนาจาร รวมไปถึงการร่วมประเวณีอันไม่มีขีดจำกัดด้านเพศเพราะซาตานสามารถจะร่วมสังวาสกับใครก็ได้ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการจัดงานเฉลิมฉลองของบรรดาเหล่าแม่มดและซาตาน
                ภาพลักษณ์ของซาตานปรากฏอยู่ในรูปของชายผิวดำ มีหนวด รูปร่างใหญ่โต หรือในบางครั้งก็อยู่ในรูปของแพะดำพิกลพิการ บ้างก็เป็นคางคกยักษ์บ้างซึ่งล้วนแล้วแต่น่าเกลียดน่ากลัวและน่าขยะแขยง
                ในงานชุมนุมแซบบัธจะมีการเต้นรำอย่างรื่นเริงวนไปรอบๆซาตาน อาจจะเป็นเสาหินรูปลึงค์ แต่เป็นการวนไปรอบๆแบบทวนเข็มนาฬิกาอันเป็นการขัดกับความเชื่อทางศาสนา เพราะโดยทั่วไปการเคลื่อนไหวแบบทวนเข็มนาฬิกานั้นนับเป็นเรื่องอวมงคลและเป็นบาปในยุคนั้น
                หากแต่เมื่อความเคร่งครัดทางศาสนาและความเชื่อต่างๆถูกลืมเลือนไป จึงปรากฏการเคลื่อนไหวทวนเข็มนาฬิกาให้เราเห็น เช่น ในการเต้นลีลาศแบบวอลซ์ เป็นต้น
                ความชั่วร้ายของบรรดาแม่มดและพวกลัทธินิยมซาตานสร้างความตื่นกลัวให้กับชาวยุโรปในช่วงศตวรรษที่15-16เป็นอย่างมาก เหตุเพราะการชุมนุมของแม่มดจำนวนนับล้านในแทบทุกเมืองของยุโรปและสร้างความสั่นคลอนต่อคริสตจักรเป็นอย่างมาก

                นักล่าแม่มดต่างพยายามกำจัดและปราบปรามให้สิ้นซาก แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดที่จะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่มดตัวจริง ต่อให้มีการตั้งกฎสำหรับพิจารณาคดีของแม่มดเหล่านั้นแล้วก็ตาม ทว่าบทลงโทษเพื่อให้บรรดาแม่มดสารภาพก็ทำได้แค่ทรมาน แม่มดที่ถูกทรมานก็จะเอ่ยชื่อแม่มดตนอื่นๆตามมาอีก เพื่อตนเองจะได้หลุดพ้นจากการทรมานอันสาหัสนั้น แต่ใครกันจะรู้ได้ว่าผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ หรือแม้กระทั่งผู้เอ่ยชื่อนั้นจะเป็นแม่มดจริงหรือไม่
                การพิจารณาคดีและการพิพากษาแม่มดที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคือ เหตุการณ์พิพากษาที่ซาเล็ม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเมืองเดนเวอร์ แมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ประมาณศตวรรษที่17 เมืองติตูบา(Tituba)ได้ใช้มายิก(magic)กับลูกสาวและหลานสาวของผู้เป๋นเจ้านายคือบาทหลวงซามูเอล แพรรีส(Samuel Parris)รวมถึงเด็กอื่นๆในหมู่บ้านอีกด้วย
                เธอดูดวงให้กับเด็กๆเหล่านั้นโดยใช้ความรูจากวิชาหมอผีของอินเดียนแดงอันเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษชาวอัฟริกันของเธอ แต่หลังจากนั้นไม่นานเด็กๆที่เคยดูดวงกับติตูบาก็มีอาการประหลาดทั้งชักดิ้นชักงอ หายใจหายคอไม่ออก รวมถึงอาการที่ราวกับมีคนมีอาการป่วยทางจิต ในที่สุดติตูบาก็ถูกบาทหลวงซาม฿เอล แพรรีสจับได้ หลังจากที่เฝ้าดูพฤติกรรมของเธออยู่นาน บาทหลวงโบยตีจนเธอยอมรับสารภาพและยังได้เอ่ยชื่อแม่มดอีก2คนที่ร่วมในการใช้มายิกกับเธอด้วย นั่นคือ ซาร่าห์ กู๊ด(Sarah Good)และซาร่าห์ ออสบอร์น(Sarah Osborne)
                การพิจารณาคดีนี้มีบรรดาเด็กๆเป็นโจทก์ เมื่อจำเลยคนใดเข้ามาในห้องศาล พวกเด็กๆต่างก็แสดงอาการเหมือนผีเข้าขึ้นมาทันที และย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเธอเป็นแม่มดไล่ลามไปถึง มาธาร์ คอร์รี่(Martha Cory) ซึ่งเป็นคนแรกที่หัวเราะขบขันกับอาการเหมือนผีข้าวของเด็กๆ แม้กระทั่งหญิงชราผู้มีหูพิการอย่างรีเบคก้า เนิร์ส(Rebecca Nurse) เธอได้ผายมือเพื่ออ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยเธอ

                                “พระเจ้าช่วยลูกด้วย นี่มันไม่ถูกต้อง ลูกบริสุทธิ์...ชีวิตลูกอยู่ในกำมือท่านแล้ว
                                (Oh Lord, Help me! It is false. I am clear. For my life now lies in your hands)
                แต่แล้วก็สูญเปล่าเมื่อเด็กๆสามารถทำเลียนแบบท่าทางวิงวอนของเธอได้เหมือนทุกประการแม้คณะลูกขุนจะพิจารณาแล้วว่าเธอไม่ผิด แต่วิลเลี่ยม สตรูตัน(Willam Stroughton)หัวหน้าพิพากษาผู้มีใจยืนพื้นอยู่บนความอเมตตาสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ในท้ายที่สุด รีเบคก้า เนิร์สก็ถูกแขวนคอพร้อมกับผู้ที่ได้รับการกล่าวหาคนอื่นๆ ไม่เพียงเท่านี้เด็กๆในซาเล็มยังได้ใส่ความใครต่อใครอีกมากมายนับร้อยคน ซึ่งมีทั้งผู้บริสุทธิ์และน่าสงสัยระคนกัน จากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้มีคนถูกจับแขวนคอไปถึง22คน จนกระทั่งไม่ได้รับการยอมรับวิธีพิจารณาคดีเช่นนี้อีกในปี 1693
                ทว่าในศตวรรษที่18 การล่าแม่มดในยุโรป ทำให้มีการฆ่าคนไปประมาณ2แสนคน จากการค้นหาแม่มดด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำหรือว่ายน้ำ หากหญิงคนนั้นเป็นแม่มดแล้วก็จะเชื่อกันว่าเธอจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ การค้นหาสัญลักษณ์ของแม่มดหรือซาตานด้วยการเปลื้องผ้าต่อหน้าศาลซึ่งเป็นการยากเหลือเกินที่หญิงทุกคนจะไม่มีเครื่องหมายเหล่านั้น ในเมื่อเครื่องหมายของซาตานหมายถึงจุดด่างพร้อยบนร่างกายไม่ว่าจะเป็นไฝ ปานหรือกระทั่งแผลเป็น
                นอกจากนี้การพิสูจน์ด้วยการแทงเข็มหมุดลงไปที่สัญลักษณ์เหล่านั้น หากไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่มีเลือดไหลก็มีความเป็นไปได้ว่านั่นคือสัญลักษณ์ของซาตาน
                บทลงโทษสุดท้ายของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็คือการถูกเผาทั้งเป็นหรือการแขวนคอแต่ถึงอย่างนั้นพิธีเหล่านี้ได้ถูกต่อต้านและเลิกไปในช่วงปลายศตวรรษนี้เอง
                ประมาณศตวรรษที่ 19-20 ลัทธิซาตานกลับมาอีกครั้งทั้งในยุโรปและอเมริกา พวกที่นับถือซาตานย่อมจะเห็นศาสนาและพระเจ้าเป็นสิ่งชั่วร้าย พวกเขาได้ทำพิธีบูชาซาตานโดยการสังเวยร่างของหญิงสาวนอนทอดกายอยู่บนแท่นบูชาและเปรียบเปรยว่าเป็นสัญลักษณ์ของแม่ธรณี แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปในพิธีกรรมก็คือ การเสพสังวาสกันในหมู่ผู้ถือซาตานนั่นเอง
                เหตุเพราะซาตานต่างเชื่อว่าตนจะมีพลังอำนาจมากขึ้นกว่าเดิมหากได้สั่งให้บรรดาปิศาจไปร่วมสมสู่กับแม่มด ความเชื่อที่ว่าแม่มดจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากซาตานนั้นจึงเป็นเหตุเป็นผลที่จะทำให้เชื่อได้ว่า แม่มดยอมที่จะสังวาสกับซาตานผู้มีร่างกายอันเยียบเย็นและร่วมมือกันทำลายมวลมนุษย์ไม่ว่าจะด้วยการใช้เวทย์มนตร์ดำนำความตายมาสู่ผู้คนทั้งหญิงและชายหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างการเกิดพายุ แค่เพียงเธอกวนนิ้วลงไปในบ่อน้ำหรือสระน้ำ
ทำไมแม่มดจึงบินได้
                ข้อสงสัยที่ติดอยู่ในใจของคนส่วนมากไม่ใช่แค่เพียงบรรดาเด็กๆแม้กระทั่งผู้ใหญ่โดยทั่วไปก็ต้องการคำอธิบายข้อสงสัยนี้ คำบอกเล่าจากผู้ล่าแม่มดในยุคเก่าเชื่อว่า พวกเธอใช้เนื้อของทารกน้อยมาเป็นส่วนผสมหลักของขี้ผึ้ง ก่อนที่จะเหาะเหินพวกเธอต้องทาขี้ผึ้งนี้ไม่ว่าจะมีไม้กวาดหรือไม่ก็ตาม ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ถึงสัดส่วนที่แท้จริงในการทำขี้ผึ้งบินได้ แต่คาดเดากันไปว่าน่าจะมาจากสัตว์และพืชที่มีพิษในตัว อาทิ แมงมุม คางคกหรือจิ้งจก และขี้ผึ้งพิเศษยังช่วยให้พวกเธอได้แปลงเป็นสัตว์เมื่อต้องการหลบหนี
                Johan Weyer(โจแฮน เวเยอร์)ผู้ต่อต้านการไล่ล่าแม่มดในศตวรรษที่16 ได้สันนิษฐานเพิ่มเติมถึงส่วนผสมอื่นๆในขี้ผึ้งซึ่งได้แก่ เลือดค้างคาว ไขมันทารก ขี้เถ้าถ่านหิน ฝิ่นและกัญชา
                สัตว์เลี้ยงของแม่มดที่เราคุ้นตาก็คือแมวดำ อันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจมือ ความเร้นลับ และอวิชชาแต่ก็มีการบันทึกไว้ว่าสัตว์เลี้ยงของแม่มดที่มักจะมีเพียงตัวเดียวนั้นไม่ได้เจาะจงเฉพาะแมวดำ บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงอื่นใดก็ได้ แล้วแต่ความชื่นชอบ ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลี้ยงสัตว์มีพิษหรือสัตว์ที่ไม่สู้จะได้รับความนิยมนั้น ย่อมก่อให้เกิดการเพ่งเล็งจากสายตาคนรอบข้างเป็นธรรมดา หญิงชราในอังกฤษที่ไม่มีคนดูแลต้องเลี้ยงหนูเลี้ยงแมงมุมหรือจิ้งจกเป็นเพื่อน จึงไม่อาจมีทางหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาที่ว่าเธอเป็นแม่มดไปได้อย่างแน่นอน

                สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป เป็นเรื่องแน่นอน ทว่าจะมีใครสามารถค้นพบไปจนถึงจุดกำเนิดของสรรพสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่แท้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถตอบได้ในเวลาอันสั้น ตำนานหรือเรื่องเล่าขานเป็นเพียงคำตอบหนึ่งของผู้ที่ต้องการสนองความอยากรู้ของผู้ที่ใคร่รู้ ส่วนข้อที่จะว่าจะจริงหรือไม่นั้นอยู่ที่การพิสูจน์ ค้นคว้าหาคำตอบต่อไปอย่างที่ไม่มีใครรู้ถึงจุดสิ้นสุดที่แท้จริง