วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ทางเดินของศพ

ตายแล้วเอาศพไปไว้ที่ไหน บางทีคำถามง่ายๆแบบนี้ก็ตอบได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่ละท้องถิ่นของโลกมีวิธีการจัดการกับศพด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป บางแห่งนั้นมีวิธีการจัดการที่ดูคล้ายกับการไม่ค่อยให้ความเคารพ แต่บางแห่งก็จัดการกันแบบแนวแปลกๆ แตกต่างจากที่ใดๆในโลก
                ความแตกต่างเหล่านี้ก็คือสีสันของทางเดินของศพที่ล้วนแล้วแต่ต้องเดินไปตามทิศทางของคนที่อยู่ข้างหลังซึ่งเป็นผู้จัดการให้ทั้งสิ้น ส่วนจะแตกต่างกันหรือพิสดารขนาดไหน คลต้องติดตามเรื่องราวของแต่ละท้องถิ่นแต่ละที่จึงจะรับรู้กันได้ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่ดี
1.       คนหลอกผี
ชนชาวชุคชีซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของไซบีเรีย มีความเชื่อกันว่าถ้าไม่อยากให้ปิศาจหรือภูตผีพากันมาหลอกหลอน ก็จะต้องทำตามความเชื่อบางอย่าง นั่นก็คือภายใน1ปีเต็ม หลังทำพิธีศพ ผู้ที่เป็นหัวหน้าในพิธีจะต้องเดินทางไปที่ทะเลสาบพร้อมกับตะโกนออกมาว่า
ข้าไม่ใช่มนุษย์ ข้าเป็นเป็ดทะเลต่างหาก” แค่นี้ก็พอทำให้พ้นจากการถูกปิศาจหลอกหลอนได้แล้ว
ส่วนชนเผ่าคอร์แย็คนั้น ผู้ที่โศกเศร้าคร่ำครวญในงานศพจะต้องส่งเสียงร้องของสัตว์ต่างๆออกมา ทั้งนี้เพื่อเป็นการลวงปิศาจให้เข้าใจผิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนเหมือนกัน อย่ามาหลอกหลอนกันเลย
2.       ไม่ต้องการหินเหนือหลุมศพ
ชนเผ่ามาร์เควซัสแห่งดินแดนโพลิซิเนียโบราณจะระมัดระวังไม่ให้ใครต่อใครล่วงรู้ว่าพวกเขาฝังศพคนตายกันไว้ที่แห่งใดบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเขากลัวว่ากระดูกของพวกเขาจะถูกขโมยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนกะโหลกนั้นยิ่งต้องระมัดระวังเป็นที่สุด
ดังนั้น เมื่อมีใครคนหนึ่งตายจากไป คนที่ทำหน้าที่ฝังศพจะนำศพไปฝังไว้ในถ้ำที่ปกปิดเป็นความลับ ซึ่งถ้ำแบบนี้มีอยู่หลายถ้ำในดินแดนนั้น แม้แต่เพื่อนฝูงหรือกระทั่งครอบครัวของผู้ตายก็ยังไม่รู้ว่าศพถูกฝังไว้ที่ถ้ำไหนกันแน่
3.       ศพทิ้งบ่อ
ชาวโรมันโบราณที่มีฐานะยากจนนั้นมักไม่ค่อยมีทางเลือกในการจัดการกับศพของผู้ที่จากไปมากมายนัก หนทางที่ปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำก็คือ ทิ้งศพให้เน่าเปื่อยผุพังกันอยู่กลางแจ้งให้เป็นเหยื่อนกกา หรือไม่ก็ทิ้งลงบ่อน้ำบางแห่ง และท้ายที่สุดก็คือทิ้งทับถมลงไปที่กองขยะประจำถิ่น
4.       สายน้ำกั้นสุสาน
อินเดียนแดงเผ่าแบล็กฟุตซึ่งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ มีความเชื่อกันว่าจะต้องวางตำแหน่งสุสานของเผ่าในทิศทางฝั่งตรงข้ามกับเผ่าโดยมีสายน้ำกั้นไว้อย่างเคร่งครัด พวกเขาเชื่อกันหนักหนาว่าสายน้ำจะเป็นตัวเร่งวิญญาณของผู้ตายเดินทางจากหลุมศพสู่โลกหลังความตายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ถ้าศพหลุดลงสายน้ำแล้วไหลขึ้นไหลลงให้ได้เห็นกันอยู่ทุกมื้อสงสัยจะกินข้าวไม่ลงกันแน่นอน
5.       ห้ามหลับเมื่อมีใครตาย
อินเดียนแดงเผ่าฮิวาโรซึ่งอาศัยอยู่ตามเทือกเขาแอนดีสในดินแดนเอกวาดอร์และเปรู ต้องพยายามฝืนใจห้ามหลับตาลงในระหว่างที่กำลังโศกเศร้าเคล้าน้ำตาอยู่กับความตายและการสูญเสียของผู้ตายที่จากไป
หนทางที่จะทำให้พวกเขาไม่ต้องหลับตาก็คือ การถูกถมด้วยน้ำจากยาสูบที่ไหม้หรือเผาแล้วเข้าที่หว่างตาสองข้าง ความแสบและความฉุนของยาสูบจะทำให้พวกเขาไม่อาจข่มตาหลับได้แม้ว่าจะง่วงงุนเพียงใดก็ตาม
นอกจากนั้นพวกเขายังเชื่อกันว่า ถ้าหลับตาลงเมื่อใดพวกเขาจะเห็นเหล่าคนตายพากันมาหลอกหลอนให้ขนหัวลุก และแม้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเก่งฉกาจในการย่อหัวมนุษย์ที่เป็นศัตรูแบบสุดเหี้ยมโหดเพียงใดก็ตามที แต่เรื่องผีนั้นชาวฮิวาโร่ถือว่าอยู่ในอันดับดีหนึ่งประเภทหนึ่ง แซงหน้าอินเดียนแดงเผ่าใดๆไปไกลสุดกู่
6.ร้องไห้จนตาบอด
ชนเผ่าบูเอ็นเด้ซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกาตอนกลาง ต้องสืบทอดประเพณีอย่างหนึ่งซึ่งค่อนข้างทรมานไม่น้อย นั่นก็คือพวกเขาต้องเข้าสู่พิธีกรรมแห่งการร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักเมื่อมีญาติของพวกเขาจากไป
การร้องไห้เช่นนั้นถือว่าเป็นประเพณีบังคับแบบต้องร้องไห้กันแบบไม่มีหยุดหย่อนและเนิ่นนาน จนกระทั่งมีใครบางคนในเผ่านี้ถึงกับตาบอดเนื่องจากร้องไห้แบบมาราธอนเช่นนั้น
7.งานศพแห่งความเมา
ชนชาวเบ็ตซิลิโอแห่งมาดากัสการ์ ไดชื่อว่าเป็นพวกที่ไม่ระงับพฤติกรรมหลายๆอย่างในระหว่างการช่วยงานศพด้วยกัน นั่นก็คือ ในช่วงก่อนจะมีพิธีการฝังศพ ผู้จัดงานศพจะต้องจัดให้มีการต่อสู้กันของนักสู้ในเผ่ากับวัววกระทิงอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการดื่มเหล้าเมายากันอย่างหนักหนาสาหัสสากรรจ์จนกระทั่งเมาพับหรือเมาไม่ได้สติกันถ้วนหน้า จากนั้นขั้นต่อไปก็คือการนำผ้ามาปิดตาจนมองไม่เห็นอะไร และในบางโอกาสก็ยังเปิดทางให้มีเพศสัมพันธ์ในหมู่พี่น้องท้องเดียวกันในเผ่าอีกด้วย
8.จูบศพ
เป็นเรื่องสยดสยองปนสะอิดสะเอียนที่รับรู้ว่า บรรดาผู้สืบเชื้อสายแห่งชนเผ่าซัลก้าของเมลานีเซียจำเป็นจะต้องนอนเคียงข้างศพคนตายก่อนที่จะถึงเวลานำไปฝัง
สาวคนหนึ่งของนิวกินี จำเป็นจะต้องพรมจูบร่างของสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของเธอทุกวัน จนกระทั่งศพขึ้นอืดเละเน่าเฟะไปทั่ว เมื่อนั้นถึงจะเลิกจูบได้
9.เพียงแค่หลับมั้ง
ในอิสราเอลมีความเชื่อกันอยู่ระหว่างสังคมของชาวยิวบางกลุ่มว่า ศพที่เพิ่งตายและรอการฝังอยู่อาจจะกลับคืนร่างหรือมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้เสมอๆ
ดังนั้นจึงมีผู้เชี่ยวชาญพิเศษถูกจ้างมาดูสัญญาณการคืนชีพก่อนที่จะมีการฝังศพในชุมชนที่มีความเชื่อแบบนั้นด้วย
10.ทำลายอวัยวะศพ
ชนเผ่าเฮอร์เบิร์ตริเวอร์มีความเชื่อกันว่าในช่วงที่มีการฝังศพไปแล้วหลายวัน พวกญาติๆของศพก็จะมาเยี่ยมที่บ้าน โดยที่บรรดาญาติๆเหล่านั้นจะพากันหักขาศพเพื่อเป็นการหยุดยั้งศพหรือผีของศพไม่ให้เดินเหินไปไหนมาไหนได้

ส่วนปอดและกระเพาะก็จะถูกยัดก้อนหินเข้าไป เพื่อทำให้ร่างศพมีน้ำหนักมากเกินขนาด จะได้ไม่เที่ยวไปหลอกหลอนผู้คนได้อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น