เชื่อกันว่า แม่มดเป็นผู้ที่บูชาและรับใช้ซาตานด้วยการเข้าร่วมชุมนุมแซบบัธ(Sabbath) เพื่อเป็นการแสดงตนต่อหน้าซาตาน
ในการนี้แม่มดจะต้องมอบเครื่องบรรณาการสีดำแก่ซาตาน อาทิ เทียนไขสีดำ สัตว์ปีกสีดำ
รวมถึงจูบแห่งความละอายที่ก้นของซาตานอีกด้วย
ตามตำนานยังกล่าวไว้ว่าพิธีกรรมในที่ประชุมนั้นประกอบไปด้วยพิธีลามกอนาจาร รวมไปถึงการร่วมประเวณีอันไม่มีขีดจำกัดด้านเพศเพราะซาตานสามารถจะร่วมสังวาสกับใครก็ได้
ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการจัดงานเฉลิมฉลองของบรรดาเหล่าแม่มดและซาตาน
ภาพลักษณ์ของซาตานปรากฏอยู่ในรูปของชายผิวดำ มีหนวด รูปร่างใหญ่โต
หรือในบางครั้งก็อยู่ในรูปของแพะดำพิกลพิการ
บ้างก็เป็นคางคกยักษ์บ้างซึ่งล้วนแล้วแต่น่าเกลียดน่ากลัวและน่าขยะแขยง
ในงานชุมนุมแซบบัธจะมีการเต้นรำอย่างรื่นเริงวนไปรอบๆซาตาน
อาจจะเป็นเสาหินรูปลึงค์
แต่เป็นการวนไปรอบๆแบบทวนเข็มนาฬิกาอันเป็นการขัดกับความเชื่อทางศาสนา
เพราะโดยทั่วไปการเคลื่อนไหวแบบทวนเข็มนาฬิกานั้นนับเป็นเรื่องอวมงคลและเป็นบาปในยุคนั้น
หากแต่เมื่อความเคร่งครัดทางศาสนาและความเชื่อต่างๆถูกลืมเลือนไป
จึงปรากฏการเคลื่อนไหวทวนเข็มนาฬิกาให้เราเห็น เช่น ในการเต้นลีลาศแบบวอลซ์
เป็นต้น
ความชั่วร้ายของบรรดาแม่มดและพวกลัทธินิยมซาตานสร้างความตื่นกลัวให้กับชาวยุโรปในช่วงศตวรรษที่15-16เป็นอย่างมาก
เหตุเพราะการชุมนุมของแม่มดจำนวนนับล้านในแทบทุกเมืองของยุโรปและสร้างความสั่นคลอนต่อคริสตจักรเป็นอย่างมาก
นักล่าแม่มดต่างพยายามกำจัดและปราบปรามให้สิ้นซาก
แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดที่จะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่มดตัวจริง
ต่อให้มีการตั้งกฎสำหรับพิจารณาคดีของแม่มดเหล่านั้นแล้วก็ตาม
ทว่าบทลงโทษเพื่อให้บรรดาแม่มดสารภาพก็ทำได้แค่ทรมาน
แม่มดที่ถูกทรมานก็จะเอ่ยชื่อแม่มดตนอื่นๆตามมาอีก
เพื่อตนเองจะได้หลุดพ้นจากการทรมานอันสาหัสนั้น
แต่ใครกันจะรู้ได้ว่าผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ
หรือแม้กระทั่งผู้เอ่ยชื่อนั้นจะเป็นแม่มดจริงหรือไม่
การพิจารณาคดีและการพิพากษาแม่มดที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคือ
เหตุการณ์พิพากษาที่ซาเล็ม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเมืองเดนเวอร์ แมสซาซูเซตส์
สหรัฐอเมริกา ประมาณศตวรรษที่17 เมืองติตูบา(Tituba)ได้ใช้มายิก(magic)กับลูกสาวและหลานสาวของผู้เป๋นเจ้านายคือบาทหลวงซามูเอล แพรรีส(Samuel
Parris)รวมถึงเด็กอื่นๆในหมู่บ้านอีกด้วย
เธอดูดวงให้กับเด็กๆเหล่านั้นโดยใช้ความรูจากวิชาหมอผีของอินเดียนแดงอันเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษชาวอัฟริกันของเธอ
แต่หลังจากนั้นไม่นานเด็กๆที่เคยดูดวงกับติตูบาก็มีอาการประหลาดทั้งชักดิ้นชักงอ
หายใจหายคอไม่ออก รวมถึงอาการที่ราวกับมีคนมีอาการป่วยทางจิต
ในที่สุดติตูบาก็ถูกบาทหลวงซาม฿เอล แพรรีสจับได้
หลังจากที่เฝ้าดูพฤติกรรมของเธออยู่นาน
บาทหลวงโบยตีจนเธอยอมรับสารภาพและยังได้เอ่ยชื่อแม่มดอีก2คนที่ร่วมในการใช้มายิกกับเธอด้วย
นั่นคือ ซาร่าห์ กู๊ด(Sarah Good)และซาร่าห์ ออสบอร์น(Sarah
Osborne)
การพิจารณาคดีนี้มีบรรดาเด็กๆเป็นโจทก์ เมื่อจำเลยคนใดเข้ามาในห้องศาล
พวกเด็กๆต่างก็แสดงอาการเหมือนผีเข้าขึ้นมาทันที และย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า
พวกเธอเป็นแม่มดไล่ลามไปถึง มาธาร์ คอร์รี่(Martha Cory) ซึ่งเป็นคนแรกที่หัวเราะขบขันกับอาการเหมือนผีข้าวของเด็กๆ
แม้กระทั่งหญิงชราผู้มีหูพิการอย่างรีเบคก้า เนิร์ส(Rebecca Nurse) เธอได้ผายมือเพื่ออ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยเธอ
“พระเจ้าช่วยลูกด้วย นี่มันไม่ถูกต้อง
ลูกบริสุทธิ์...ชีวิตลูกอยู่ในกำมือท่านแล้ว”
(Oh
Lord, Help me! It is false. I am clear. For my life now lies in your hands)
แต่แล้วก็สูญเปล่าเมื่อเด็กๆสามารถทำเลียนแบบท่าทางวิงวอนของเธอได้เหมือนทุกประการแม้คณะลูกขุนจะพิจารณาแล้วว่าเธอไม่ผิด
แต่วิลเลี่ยม สตรูตัน(Willam Stroughton)หัวหน้าพิพากษาผู้มีใจยืนพื้นอยู่บนความอเมตตาสั่งให้พิจารณาคดีใหม่
ในท้ายที่สุด รีเบคก้า เนิร์สก็ถูกแขวนคอพร้อมกับผู้ที่ได้รับการกล่าวหาคนอื่นๆ
ไม่เพียงเท่านี้เด็กๆในซาเล็มยังได้ใส่ความใครต่อใครอีกมากมายนับร้อยคน
ซึ่งมีทั้งผู้บริสุทธิ์และน่าสงสัยระคนกัน จากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้มีคนถูกจับแขวนคอไปถึง22คน
จนกระทั่งไม่ได้รับการยอมรับวิธีพิจารณาคดีเช่นนี้อีกในปี 1693
ทว่าในศตวรรษที่18 การล่าแม่มดในยุโรป ทำให้มีการฆ่าคนไปประมาณ2แสนคน
จากการค้นหาแม่มดด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำหรือว่ายน้ำ หากหญิงคนนั้นเป็นแม่มดแล้วก็จะเชื่อกันว่าเธอจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ
การค้นหาสัญลักษณ์ของแม่มดหรือซาตานด้วยการเปลื้องผ้าต่อหน้าศาลซึ่งเป็นการยากเหลือเกินที่หญิงทุกคนจะไม่มีเครื่องหมายเหล่านั้น
ในเมื่อเครื่องหมายของซาตานหมายถึงจุดด่างพร้อยบนร่างกายไม่ว่าจะเป็นไฝ ปานหรือกระทั่งแผลเป็น
นอกจากนี้การพิสูจน์ด้วยการแทงเข็มหมุดลงไปที่สัญลักษณ์เหล่านั้น
หากไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่มีเลือดไหลก็มีความเป็นไปได้ว่านั่นคือสัญลักษณ์ของซาตาน
บทลงโทษสุดท้ายของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็คือการถูกเผาทั้งเป็นหรือการแขวนคอแต่ถึงอย่างนั้นพิธีเหล่านี้ได้ถูกต่อต้านและเลิกไปในช่วงปลายศตวรรษนี้เอง
ประมาณศตวรรษที่ 19-20 ลัทธิซาตานกลับมาอีกครั้งทั้งในยุโรปและอเมริกา
พวกที่นับถือซาตานย่อมจะเห็นศาสนาและพระเจ้าเป็นสิ่งชั่วร้าย พวกเขาได้ทำพิธีบูชาซาตานโดยการสังเวยร่างของหญิงสาวนอนทอดกายอยู่บนแท่นบูชาและเปรียบเปรยว่าเป็นสัญลักษณ์ของแม่ธรณี
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปในพิธีกรรมก็คือ
การเสพสังวาสกันในหมู่ผู้ถือซาตานนั่นเอง
เหตุเพราะซาตานต่างเชื่อว่าตนจะมีพลังอำนาจมากขึ้นกว่าเดิมหากได้สั่งให้บรรดาปิศาจไปร่วมสมสู่กับแม่มด
ความเชื่อที่ว่าแม่มดจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากซาตานนั้นจึงเป็นเหตุเป็นผลที่จะทำให้เชื่อได้ว่า
แม่มดยอมที่จะสังวาสกับซาตานผู้มีร่างกายอันเยียบเย็นและร่วมมือกันทำลายมวลมนุษย์ไม่ว่าจะด้วยการใช้เวทย์มนตร์ดำนำความตายมาสู่ผู้คนทั้งหญิงและชายหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างการเกิดพายุ
แค่เพียงเธอกวนนิ้วลงไปในบ่อน้ำหรือสระน้ำ
ทำไมแม่มดจึงบินได้
ข้อสงสัยที่ติดอยู่ในใจของคนส่วนมากไม่ใช่แค่เพียงบรรดาเด็กๆแม้กระทั่งผู้ใหญ่โดยทั่วไปก็ต้องการคำอธิบายข้อสงสัยนี้
คำบอกเล่าจากผู้ล่าแม่มดในยุคเก่าเชื่อว่า
พวกเธอใช้เนื้อของทารกน้อยมาเป็นส่วนผสมหลักของขี้ผึ้ง
ก่อนที่จะเหาะเหินพวกเธอต้องทาขี้ผึ้งนี้ไม่ว่าจะมีไม้กวาดหรือไม่ก็ตาม
ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ถึงสัดส่วนที่แท้จริงในการทำขี้ผึ้งบินได้
แต่คาดเดากันไปว่าน่าจะมาจากสัตว์และพืชที่มีพิษในตัว อาทิ แมงมุม คางคกหรือจิ้งจก
และขี้ผึ้งพิเศษยังช่วยให้พวกเธอได้แปลงเป็นสัตว์เมื่อต้องการหลบหนี
Johan
Weyer(โจแฮน เวเยอร์)ผู้ต่อต้านการไล่ล่าแม่มดในศตวรรษที่16
ได้สันนิษฐานเพิ่มเติมถึงส่วนผสมอื่นๆในขี้ผึ้งซึ่งได้แก่ เลือดค้างคาว ไขมันทารก
ขี้เถ้าถ่านหิน ฝิ่นและกัญชา
สัตว์เลี้ยงของแม่มดที่เราคุ้นตาก็คือแมวดำ อันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจมือ
ความเร้นลับ
และอวิชชาแต่ก็มีการบันทึกไว้ว่าสัตว์เลี้ยงของแม่มดที่มักจะมีเพียงตัวเดียวนั้นไม่ได้เจาะจงเฉพาะแมวดำ
บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงอื่นใดก็ได้ แล้วแต่ความชื่นชอบ ทั้งนี้ทั้งนั้น
การเลี้ยงสัตว์มีพิษหรือสัตว์ที่ไม่สู้จะได้รับความนิยมนั้น ย่อมก่อให้เกิดการเพ่งเล็งจากสายตาคนรอบข้างเป็นธรรมดา
หญิงชราในอังกฤษที่ไม่มีคนดูแลต้องเลี้ยงหนูเลี้ยงแมงมุมหรือจิ้งจกเป็นเพื่อน
จึงไม่อาจมีทางหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาที่ว่าเธอเป็นแม่มดไปได้อย่างแน่นอน
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป เป็นเรื่องแน่นอน
ทว่าจะมีใครสามารถค้นพบไปจนถึงจุดกำเนิดของสรรพสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่แท้
ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถตอบได้ในเวลาอันสั้น
ตำนานหรือเรื่องเล่าขานเป็นเพียงคำตอบหนึ่งของผู้ที่ต้องการสนองความอยากรู้ของผู้ที่ใคร่รู้
ส่วนข้อที่จะว่าจะจริงหรือไม่นั้นอยู่ที่การพิสูจน์
ค้นคว้าหาคำตอบต่อไปอย่างที่ไม่มีใครรู้ถึงจุดสิ้นสุดที่แท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น