วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

ตำนานแม่มด

                 
                  พลังพิเศษเวทย์มนตร์คาถาและศาสตร์แห่งความลี้ลับ นับเป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลกตราบเท่าที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ นอกจากเรื่องผีสางนางไม้แล้ว ตำนานแม่มดก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อผสมกับจินตนาการและเหตุการณ์จริงบางเรื่องราว ซึ่งไม่มีใครสามารถสรุปเป็นข้อเท็จจริงได้ว่า ภาพยายแก่ หน้าตาน่าเกลียด จมูกงองุ้ม เล็บยาวแหลม สวมชุดดำ ขี่ไม้กวาด และสามารถจะเสกสรรบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามแต่อำนาจเวทย์มนตร์ดำนั้น มีจริงหรืออย่างไร
                เชื่อกันว่า แม่มดเป็นผู้ที่บูชาและรับใช้ซาตานด้วยการเข้าร่วมชุมนุมแซบบัธ(Sabbath) เพื่อเป็นการแสดงตนต่อหน้าซาตาน ในการนี้แม่มดจะต้องมอบเครื่องบรรณาการสีดำแก่ซาตาน อาทิ เทียนไขสีดำ สัตว์ปีกสีดำ รวมถึงจูบแห่งความละอายที่ก้นของซาตานอีกด้วย ตามตำนานยังกล่าวไว้ว่าพิธีกรรมในที่ประชุมนั้นประกอบไปด้วยพิธีลามกอนาจาร รวมไปถึงการร่วมประเวณีอันไม่มีขีดจำกัดด้านเพศเพราะซาตานสามารถจะร่วมสังวาสกับใครก็ได้ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการจัดงานเฉลิมฉลองของบรรดาเหล่าแม่มดและซาตาน
                ภาพลักษณ์ของซาตานปรากฏอยู่ในรูปของชายผิวดำ มีหนวด รูปร่างใหญ่โต หรือในบางครั้งก็อยู่ในรูปของแพะดำพิกลพิการ บ้างก็เป็นคางคกยักษ์บ้างซึ่งล้วนแล้วแต่น่าเกลียดน่ากลัวและน่าขยะแขยง
                ในงานชุมนุมแซบบัธจะมีการเต้นรำอย่างรื่นเริงวนไปรอบๆซาตาน อาจจะเป็นเสาหินรูปลึงค์ แต่เป็นการวนไปรอบๆแบบทวนเข็มนาฬิกาอันเป็นการขัดกับความเชื่อทางศาสนา เพราะโดยทั่วไปการเคลื่อนไหวแบบทวนเข็มนาฬิกานั้นนับเป็นเรื่องอวมงคลและเป็นบาปในยุคนั้น
                หากแต่เมื่อความเคร่งครัดทางศาสนาและความเชื่อต่างๆถูกลืมเลือนไป จึงปรากฏการเคลื่อนไหวทวนเข็มนาฬิกาให้เราเห็น เช่น ในการเต้นลีลาศแบบวอลซ์ เป็นต้น
                ความชั่วร้ายของบรรดาแม่มดและพวกลัทธินิยมซาตานสร้างความตื่นกลัวให้กับชาวยุโรปในช่วงศตวรรษที่15-16เป็นอย่างมาก เหตุเพราะการชุมนุมของแม่มดจำนวนนับล้านในแทบทุกเมืองของยุโรปและสร้างความสั่นคลอนต่อคริสตจักรเป็นอย่างมาก

                นักล่าแม่มดต่างพยายามกำจัดและปราบปรามให้สิ้นซาก แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดที่จะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่มดตัวจริง ต่อให้มีการตั้งกฎสำหรับพิจารณาคดีของแม่มดเหล่านั้นแล้วก็ตาม ทว่าบทลงโทษเพื่อให้บรรดาแม่มดสารภาพก็ทำได้แค่ทรมาน แม่มดที่ถูกทรมานก็จะเอ่ยชื่อแม่มดตนอื่นๆตามมาอีก เพื่อตนเองจะได้หลุดพ้นจากการทรมานอันสาหัสนั้น แต่ใครกันจะรู้ได้ว่าผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ หรือแม้กระทั่งผู้เอ่ยชื่อนั้นจะเป็นแม่มดจริงหรือไม่
                การพิจารณาคดีและการพิพากษาแม่มดที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคือ เหตุการณ์พิพากษาที่ซาเล็ม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเมืองเดนเวอร์ แมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ประมาณศตวรรษที่17 เมืองติตูบา(Tituba)ได้ใช้มายิก(magic)กับลูกสาวและหลานสาวของผู้เป๋นเจ้านายคือบาทหลวงซามูเอล แพรรีส(Samuel Parris)รวมถึงเด็กอื่นๆในหมู่บ้านอีกด้วย
                เธอดูดวงให้กับเด็กๆเหล่านั้นโดยใช้ความรูจากวิชาหมอผีของอินเดียนแดงอันเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษชาวอัฟริกันของเธอ แต่หลังจากนั้นไม่นานเด็กๆที่เคยดูดวงกับติตูบาก็มีอาการประหลาดทั้งชักดิ้นชักงอ หายใจหายคอไม่ออก รวมถึงอาการที่ราวกับมีคนมีอาการป่วยทางจิต ในที่สุดติตูบาก็ถูกบาทหลวงซาม฿เอล แพรรีสจับได้ หลังจากที่เฝ้าดูพฤติกรรมของเธออยู่นาน บาทหลวงโบยตีจนเธอยอมรับสารภาพและยังได้เอ่ยชื่อแม่มดอีก2คนที่ร่วมในการใช้มายิกกับเธอด้วย นั่นคือ ซาร่าห์ กู๊ด(Sarah Good)และซาร่าห์ ออสบอร์น(Sarah Osborne)
                การพิจารณาคดีนี้มีบรรดาเด็กๆเป็นโจทก์ เมื่อจำเลยคนใดเข้ามาในห้องศาล พวกเด็กๆต่างก็แสดงอาการเหมือนผีเข้าขึ้นมาทันที และย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเธอเป็นแม่มดไล่ลามไปถึง มาธาร์ คอร์รี่(Martha Cory) ซึ่งเป็นคนแรกที่หัวเราะขบขันกับอาการเหมือนผีข้าวของเด็กๆ แม้กระทั่งหญิงชราผู้มีหูพิการอย่างรีเบคก้า เนิร์ส(Rebecca Nurse) เธอได้ผายมือเพื่ออ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยเธอ

                                “พระเจ้าช่วยลูกด้วย นี่มันไม่ถูกต้อง ลูกบริสุทธิ์...ชีวิตลูกอยู่ในกำมือท่านแล้ว
                                (Oh Lord, Help me! It is false. I am clear. For my life now lies in your hands)
                แต่แล้วก็สูญเปล่าเมื่อเด็กๆสามารถทำเลียนแบบท่าทางวิงวอนของเธอได้เหมือนทุกประการแม้คณะลูกขุนจะพิจารณาแล้วว่าเธอไม่ผิด แต่วิลเลี่ยม สตรูตัน(Willam Stroughton)หัวหน้าพิพากษาผู้มีใจยืนพื้นอยู่บนความอเมตตาสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ในท้ายที่สุด รีเบคก้า เนิร์สก็ถูกแขวนคอพร้อมกับผู้ที่ได้รับการกล่าวหาคนอื่นๆ ไม่เพียงเท่านี้เด็กๆในซาเล็มยังได้ใส่ความใครต่อใครอีกมากมายนับร้อยคน ซึ่งมีทั้งผู้บริสุทธิ์และน่าสงสัยระคนกัน จากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้มีคนถูกจับแขวนคอไปถึง22คน จนกระทั่งไม่ได้รับการยอมรับวิธีพิจารณาคดีเช่นนี้อีกในปี 1693
                ทว่าในศตวรรษที่18 การล่าแม่มดในยุโรป ทำให้มีการฆ่าคนไปประมาณ2แสนคน จากการค้นหาแม่มดด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำหรือว่ายน้ำ หากหญิงคนนั้นเป็นแม่มดแล้วก็จะเชื่อกันว่าเธอจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ การค้นหาสัญลักษณ์ของแม่มดหรือซาตานด้วยการเปลื้องผ้าต่อหน้าศาลซึ่งเป็นการยากเหลือเกินที่หญิงทุกคนจะไม่มีเครื่องหมายเหล่านั้น ในเมื่อเครื่องหมายของซาตานหมายถึงจุดด่างพร้อยบนร่างกายไม่ว่าจะเป็นไฝ ปานหรือกระทั่งแผลเป็น
                นอกจากนี้การพิสูจน์ด้วยการแทงเข็มหมุดลงไปที่สัญลักษณ์เหล่านั้น หากไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่มีเลือดไหลก็มีความเป็นไปได้ว่านั่นคือสัญลักษณ์ของซาตาน
                บทลงโทษสุดท้ายของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็คือการถูกเผาทั้งเป็นหรือการแขวนคอแต่ถึงอย่างนั้นพิธีเหล่านี้ได้ถูกต่อต้านและเลิกไปในช่วงปลายศตวรรษนี้เอง
                ประมาณศตวรรษที่ 19-20 ลัทธิซาตานกลับมาอีกครั้งทั้งในยุโรปและอเมริกา พวกที่นับถือซาตานย่อมจะเห็นศาสนาและพระเจ้าเป็นสิ่งชั่วร้าย พวกเขาได้ทำพิธีบูชาซาตานโดยการสังเวยร่างของหญิงสาวนอนทอดกายอยู่บนแท่นบูชาและเปรียบเปรยว่าเป็นสัญลักษณ์ของแม่ธรณี แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปในพิธีกรรมก็คือ การเสพสังวาสกันในหมู่ผู้ถือซาตานนั่นเอง
                เหตุเพราะซาตานต่างเชื่อว่าตนจะมีพลังอำนาจมากขึ้นกว่าเดิมหากได้สั่งให้บรรดาปิศาจไปร่วมสมสู่กับแม่มด ความเชื่อที่ว่าแม่มดจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากซาตานนั้นจึงเป็นเหตุเป็นผลที่จะทำให้เชื่อได้ว่า แม่มดยอมที่จะสังวาสกับซาตานผู้มีร่างกายอันเยียบเย็นและร่วมมือกันทำลายมวลมนุษย์ไม่ว่าจะด้วยการใช้เวทย์มนตร์ดำนำความตายมาสู่ผู้คนทั้งหญิงและชายหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างการเกิดพายุ แค่เพียงเธอกวนนิ้วลงไปในบ่อน้ำหรือสระน้ำ
ทำไมแม่มดจึงบินได้
                ข้อสงสัยที่ติดอยู่ในใจของคนส่วนมากไม่ใช่แค่เพียงบรรดาเด็กๆแม้กระทั่งผู้ใหญ่โดยทั่วไปก็ต้องการคำอธิบายข้อสงสัยนี้ คำบอกเล่าจากผู้ล่าแม่มดในยุคเก่าเชื่อว่า พวกเธอใช้เนื้อของทารกน้อยมาเป็นส่วนผสมหลักของขี้ผึ้ง ก่อนที่จะเหาะเหินพวกเธอต้องทาขี้ผึ้งนี้ไม่ว่าจะมีไม้กวาดหรือไม่ก็ตาม ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ถึงสัดส่วนที่แท้จริงในการทำขี้ผึ้งบินได้ แต่คาดเดากันไปว่าน่าจะมาจากสัตว์และพืชที่มีพิษในตัว อาทิ แมงมุม คางคกหรือจิ้งจก และขี้ผึ้งพิเศษยังช่วยให้พวกเธอได้แปลงเป็นสัตว์เมื่อต้องการหลบหนี
                Johan Weyer(โจแฮน เวเยอร์)ผู้ต่อต้านการไล่ล่าแม่มดในศตวรรษที่16 ได้สันนิษฐานเพิ่มเติมถึงส่วนผสมอื่นๆในขี้ผึ้งซึ่งได้แก่ เลือดค้างคาว ไขมันทารก ขี้เถ้าถ่านหิน ฝิ่นและกัญชา
                สัตว์เลี้ยงของแม่มดที่เราคุ้นตาก็คือแมวดำ อันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจมือ ความเร้นลับ และอวิชชาแต่ก็มีการบันทึกไว้ว่าสัตว์เลี้ยงของแม่มดที่มักจะมีเพียงตัวเดียวนั้นไม่ได้เจาะจงเฉพาะแมวดำ บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงอื่นใดก็ได้ แล้วแต่ความชื่นชอบ ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลี้ยงสัตว์มีพิษหรือสัตว์ที่ไม่สู้จะได้รับความนิยมนั้น ย่อมก่อให้เกิดการเพ่งเล็งจากสายตาคนรอบข้างเป็นธรรมดา หญิงชราในอังกฤษที่ไม่มีคนดูแลต้องเลี้ยงหนูเลี้ยงแมงมุมหรือจิ้งจกเป็นเพื่อน จึงไม่อาจมีทางหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาที่ว่าเธอเป็นแม่มดไปได้อย่างแน่นอน

                สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป เป็นเรื่องแน่นอน ทว่าจะมีใครสามารถค้นพบไปจนถึงจุดกำเนิดของสรรพสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่แท้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถตอบได้ในเวลาอันสั้น ตำนานหรือเรื่องเล่าขานเป็นเพียงคำตอบหนึ่งของผู้ที่ต้องการสนองความอยากรู้ของผู้ที่ใคร่รู้ ส่วนข้อที่จะว่าจะจริงหรือไม่นั้นอยู่ที่การพิสูจน์ ค้นคว้าหาคำตอบต่อไปอย่างที่ไม่มีใครรู้ถึงจุดสิ้นสุดที่แท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น