แวมไพร์
หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของผีดูดเลือด
เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์และปรากฏอยู่ในเรื่องราวเก่าแก่ในอดีตตราบจนกระทั่งปัจจุบัน
ผีดูดเลือดหรือมนุษย์ผู้เป็นอมตะไม่มีวันตายอย่างแดร็คคิวล่า
บ้างว่าเป็นตำนานที่ไม่มีอยู่จริง แต่ถามถึงบทพิสูจน์ที่แน่นอนนั้นยังไม่มีใครสรรหามายืนได้100%
อย่างไรก็ดี
ชาวโลกได้รู้จักกับความร้ายกาจและอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวในอาณาจักรความสยดสยองของผีดูดเลือดหรืออมนุษย์ผู้ไม่มีวันตายและพยายามจะสร้างอาณาจักรผีดิบคือ “เคาท์แดร็คคิวลา” เรื่องราวของผีดิบดูดเลือดออกอาละวาด
ดูดเลือดจากลำคอของเหยื่อที่เป็นสตรีเพื่อต่อชีวิตตัวเองและถ่ายทอดพันธุกรรมทางเลือดให้เหยื่อกลายเป็นผีดิบดูดเลือดตามไป
แต่สิ่งที่มีหลักฐานการบันทึกไว้จากรัฐบาลยูโกสลาเวีย
และยังได้รับการเก็บรักษาไว้ที่กรุงเบลเกรดจนกระทั่งปัจจุบันก็เป็นเรื่องชวนให้พิศวงไม่น้อยเพราะคำร้องเรียนของชาวบ้านที่แจ้งไปยังกรุงเบลเกรดนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรีบรุดไปทำการพิสูจน์เพื่อหาข้อเท็จจริง
ผู้ที่ร้องเรียนเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านในเขตป่าดำ(ป่าดำที่อยู่ในแถบเทือกเขาสูงในโรมาเนีย
ชุกชุมไปด้วยหมาป่าและสัตว์ร้าย)ได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ว่า ได้พบผีดิบอาละวาด
แต่เดิมทีผีดิบตนนี้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา และได้ถึงแก่กรรมลงไปโดยสาเหตุธรรมดา
ส่วนศพถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้า
หากแต่แล้วจู่ๆก็มีคนพบว่าเขาออกมาเดินเพ่นพ่านในตอนกลางคืน
ดูดเลือดหลานชายและหลานสาวไปอีกสามคนและยังได้ดูดเลือดพี่ชายของเขาแท้ๆเป็นศพที่สี่
เหยื่อรายที่ห้าคือหลานสาวคนเล็กของเขา
แต่เด็กโชคดีที่มีผู้ไปพบและเข้าขัดขวางเสียก่อน ผีดิบรายนั้นจึงหลบหนีไป
ชาวบ้านไม่กล้าจะออกตามล่า ได้แต่ระมัดระวังตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัย
และได้ร้องเรียนมายังกรุงเบลเกรดเพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่มาปราบปราม จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่นำทางไปยังหลุมฝังศพของชายผู้นั้นในตอนกลางคืน
ชาวบ้านต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันถือคบไฟนำเจ้าหน้าที่เข้าไปเป็นพรวน
เมื่อไปถึงป่าช้าที่ฝังศพแล้วก็ขุดเอาโลงศพขึ้นมา
ปรากฏว่าดินที่ฝังศพนั้นมีลักษณะอ่อนนุ่มและไม่แน่นหนาคล้ายกับว่าได้มีการขุดขึ้นมาแล้วก็กลบลงไปหมาดๆ
ทันใดนั้นไม่มีใครรอช้าได้อีก ในที่สุดโลงศพก็ถูกยกขึ้นมาจากหลุม
เจ้าหน้าที่จึงกรูกันเข้าไปเปิดฝาโลง ศพที่นอนอยู่ภายในน่าจะขึ้นอืดหรือเน่าเปื่อย
แต่แล้วกลับมีสภาพเหมือนคนทั่วไปที่กำลังนอนหลับ มีเลือดฝาด ทั้งที่ชาวบ้านยืนยันว่าเขาตายมาแล้วสามปี
แต่ที่ทำให้ทุกคนขนลุกเกรียวคือ หัวใจของเขายังเต้นอยู่เป็นปกติ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้เร่งทำการชันสูตรพลิกศพและทำการบันทึกไว้
จากนั้นจึงนำเอาไม้ปลายแหมมาจ่อที่ตรงทรวงอกด้านซ้ายตรงกับหัวใจ...
พลัน! ศพนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เพชฌฆาตจึงรีบทำหน้าที่
นำเอาค้อนอัดลงไปบนด้ามไม้ปลายแหลมทำให้ไม้ทิ่มทะลวงลงไปจนมิด
เสียงร้องดังกึกก้องขึ้นจากปากของผีดิบดูดเลือด
ของเหลวสีขาวข้นเหมือนครีมทะลักออกมาก่อนตามด้วยเลือดสดๆสีแดงฉานพุ่งตามออกมา
หัวของศพถูกตัดออกจากตัว แล้วร่างที่ไร้วิญญาณก็กระตุกติดๆก่อนและตายลงอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ได้ขยายหลุมให้กว้างขึ้น
แล้วนำปูนขาวโรยเพื่อป้องกันเชื้อโรคและนำศพลงไปฝังนอกจากนี้ยังมีบันทึกเกี่ยวกับลักษณะของผีดูดเลือดหรืออมนุษย์อันเป็นความเชื่อของชาวยุโรปตะวันออกไว้ว่าดังนี้
- · อย่างแรก ก็คือ ผีดิบจะมีชีวิตเมื่อลำแสงอาทิตย์สุดท้ายลับหายไปจากโลกนั่นหมายถึงความมืดแห่งรัตติกาลเข้าปกคลุมโลกนั่นเอง
- · อย่างที่สอง ก็คือ ผีดิบจะซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินหรือซากปรกหักพังอันอับทึบปราศจากแสงแดดหรือในโลงศพอันปิดมิดชิดในตอนกลางวันเพราะแสงแดดเป็นอันตรายต่อร่างกายของมัน
- · อย่างที่สาม ก็คือ ผีดิบคือร่างที่ไร้วิญญาณของผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตและเลือดเนื้อของคนธรรมดา แต่เมื่อความตายมาถึงแล้วกลับไม่ตาย แม้ร่างกายจะหยุดทำงานทุกระบบ แต่กลับมีชีวิตอยู่ในตอนกลางคืนด้วยเลือดสดๆจากเหยื่อที่มันดูดออกมาเป็นอาหาร
- · อย่างที่สี่ เมื่อเหยื่อถูกดูดเลือดแล้ว เชื้อผีดิบจะผ่านไปทางน้ำลายของผีดูดเลือดเข้าไปในร่างกายของเหยื่อทำให้เหยื่อเกิดเป็นผีดิบดูดเลือดออกอาละวาดดูดเลือดเหยื่อต่อไปเป็นโรคระบาด หากไม่มีการปราบปรามก็จะขยายกว้างออกไปอย่างไม่จำกัด
- · อย่างที่ห้า ผีดิบดูดเลือดในตอนกลางคืนจะไม่ปรากฏเงา ไม่ว่าจะในกระจกหรือในน้ำใสและจะเกลียดกระจกเป็นที่สุด เพราะเป็นจุดอ่อนที่จะเผยตัวเองว่าเป็นผีดิบ
- · อย่างที่เจ็ด ผีดิบกลัวสัญลักษณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าและพระบุตรคือไม้กางเขน เกลียดกลิ่นกระเทียมสดและผวากับกระเทียมแห้งที่มัดรวมกันเป็นพวง
- · อย่างที่แปด การจะกำจัดผีดูดเลือดต้องกระทำในเวลากลางวันเท่านั้นโดยการค้นหาให้พบที่ซ่อนของผีดูดเลือดแล้วนำร่างออกมากลางแดด แดดจะทำลายร่างให้กลายเป็นผงธุลีหายไปจากโลกนี้
- · ข้อสุดท้ายคือ หากไม่สามารถจะนำร่างของผีดูดเลือดออกมาได้ ให้ทำลายด้วยการนำไม้เสี้ยมให้แหลม ตอกลงไปให้ทะลุหัวใจและเอามีดคมๆตัดศีรษะให้ขาดออกจากหัวเพื่อป้องกันการกลับมาเข้าร่างอีก
ทั้งหมดนี้
คือการบันทึกของรัฐบาลยูโกสลาเวียจากเรื่องราวอันเป็นความเชื่อถือของชาวคาเพเธียน
อันอยู่ในดินแดนแห่งความเร้นลับด้วยมนต์ดำและคาวเลือด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น